- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 19-25 มิถุนายน 2563
ข้าว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,846 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,897 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.34
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,053 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,092 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 32,610 บาท ราคาลดลงจากตันละ 33,150 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.63
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,073 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,935 บาท/ตัน) ราคา
ลดลงจากตันละ 1,095 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,755 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.01 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 820 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 518 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,900 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 528 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,276 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.89 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 376 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 499 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,317 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 506 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,598 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.38 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 281 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 540 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,575 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 535 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,492 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.93 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 83 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.6945
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือนมิถุนายนผลผลิต 502.086 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 494.292 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.58
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2563/64 ณ เดือนมิถุนายน 2563 มีปริมาณผลผลิต 502.086 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.58 การใช้ในประเทศ 497.994 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.67 การส่งออก/นำเข้า 44.980 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 5.93 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 185.348 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63
ร้อยละ 2.26
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน อินเดีย ปารากวัย แอฟริกาใต้
ไทย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน และเวียดนาม
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย อียู กานา กินี อิหร่าน เคนย่า มาเลเซีย เม็กซิโก โมแซมบิค ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน และเนปาล
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และไทย
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
สหพันธ์เกษตรกรอิสระแห่งฟิลิปปินส์ (The Philippines Federation of Free Farmers; FFF) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแผนการนำเข้าข้าวจำนวน 300,000 ตัน ภายใต้ข้อตกลงแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G-G) สหพันธ์เกษตรกรฯ
ได้แนะนำให้บริษัทการค้าระหว่างประเทศของฟิลิปปินส์ (the Philippine International Trading Corporation; PITC) ยกเลิกการประมูลโดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายและงบประมาณเพียงพอสำหรับการนำเข้าข้าว ซึ่งมีรายงานระบุว่า PITC กำลังเผชิญกับความยากลำบากในการเบิกถอนงบประมาณจำนวน 7.45 พันล้านเปโซ จากสำนักงบประมาณและการจัดการ (the Department of Budget and Management; DBM) สำหรับการนำเข้าข้าวจำนวนดังกล่าว ทำให้ PITC ต้องตัดสินใจที่จะระงับการประกาศผลการประกวดราคาที่เดิมจะดำเนินการในวันที่ 8 มิถุนายน 2563
สหพันธ์เกษตรกรฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการนำเข้าข้าวของ PITC ที่วางแผนไว้นั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดย
อ้างกฎข้อ 6.4 ของกฎและระเบียบปฏิบัติ (the Implementing Rules and Regulationsl; IRR) ของกฎหมายว่าด้วยการเก็บภาษีข้าว (the Rice Tariffication Law; RTL) ซึ่งระบุว่าการนำเข้าข้าวจะได้รับอนุญาตเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาการขาดแคลนข้าวในประเทศอย่างชัดเจนและจะต้องมีการอนุญาตอย่างเป็นทางการจากประธานาธิบดี
ทั้งนี้ การเสนอราคาข้าวขาว 25% (25% broken well-milled long-grain white rice) จำนวน 300,000 ตัน ภายใต้ข้อตกลงแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (government-to-government; G2G) ซึ่งจัดโดยหน่วยงาน Philippines International Trading Corporation (PITC) ที่เป็นบริษัทการค้าของรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์และคาดว่าจะชนะการประมูลเพียง 2 ราย จากประเทศเมียนมาและเวียดนาม โดยคาดว่าฟิลิปปินส์จะซื้อข้าวได้เพียง 105,000 ตัน เท่านั้น เนื่องจากผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่นไม่ได้ยื่นข้อเสนอ และไม่ผ่านเกณฑ์ของ PITC
โดยในล็อตแรกที่กำหนดส่งมอบที่ท่าเรือ Manila นั้น สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation; MRF) เสนอราคาที่ตันละ 489.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (CIF) หรือ 24,415.53 เปโซต่อตัน จำนวนรวม 33,000 ตัน แบ่งเป็นการส่งมอบภายในวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 จำนวน 10,000 ตัน และส่งมอบภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 จำนวน 23,000 ตัน ล็อตที่ 2 กำหนดส่งมอบที่ท่าเรือ Cebu นั้น สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation; MRF) เสนอราคาที่ตันละ 494.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (CIF) หรือ 24,665.08 เปโซต่อตัน จำนวนรวม 42,000 ตัน แบ่งเป็น การส่งมอบภายในวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 จำนวน 21,000 ตัน และส่งมอบภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 จำนวน 21,000 ตัน ส่วนล็อตที่ 3 และ 4 กำหนดส่งมอบที่ท่าเรือ Tacloban และ Zamboanga ทั้งเวียดนามและอินเดียที่ได้มีการยื่นข้อเสนอราคา แต่ไม่ผ่านเกณฑ์สำหรับล็อตที่ 5 กำหนดส่งมอบที่ท่าเรือ Davao นั้น บริษัท Vinafood I เสนอราคาที่ตัน 497.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ (CIF) หรือ 24,817.26 เปโซต่อตัน จำนวนรวม 30,000 ตัน แบ่งเป็นการส่งมอบภายในวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 จำนวน 15,000 ตัน และส่งมอบ ภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 จำนวน 15,000 ตัน
การประมูลครั้งนี้ มีตัวแทนจากรัฐบาลของ 4 ประเทศเข้าร่วมเสนอราคา ประกอบด้วย สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation; MRF) จากเวียดนามคือ บริษัท Vinafood 1 จากอินเดียคือ สหพันธ์สหกรณ์การตลาดเกษตรแห่งชาติของอินเดีย (India's National Agricultural Cooperative Marketing Federation of India Ltd.) และตัวแทนจากไทยคือ กรมการค้าต่างประเทศ (Department of Foreign Trade)
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippine Statistics Agency; PSA) รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม 2563 ราคาข้าวเปลือกและราคาข้าวสารในประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (ราคาข้าวเคยขึ้นสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน 2561) โดยราคาข้าวเปลือกเฉลี่ย (The average farm-gate paddy price) อยู่ที่ 19.15 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 382 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจาก 19.06 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 382.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า โดยราคาข้าวเปลือกในขณะนี้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณร้อยละ 5.3
ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารเกรดดี (The average wholesale price of the well-milled rice) อยู่ที่ 39.43 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 786 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจาก 39.25 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 786.26 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า และลดลงประมาณร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนราคาขายปลีกข้าวสารเกรดดี (The average retail price of the well-milled rice) อยู่ที่ระดับ 42.5 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 847 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจาก 42.38 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 849 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ลดลงประมาณร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ราคาขายส่งข้าวสารเกรดธรรมดา (The average wholesale price of the regular-milled rice) อยู่ที่ 35.83 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 714 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 35.73 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 716 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ลดลงประมาณร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
และราคาขายปลีกข้าวสารเกรดธรรมดา (The average retail price of the regular-milled rice) อยู่ที่ 38.25 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 762 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 38.17 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 765 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ลดลงร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ผลผลิตข้าวโลก และบัญชีสมดุลข้าวโลก(ประมาณการเดือนมิถุนายน 2563)
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติ
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตรแบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ (6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map) (9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
(10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อย อัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้ว เว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,846 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,897 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.34
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 9,053 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,092 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.43
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 32,610 บาท ราคาลดลงจากตันละ 33,150 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.63
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 14,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 1,073 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,935 บาท/ตัน) ราคา
ลดลงจากตันละ 1,095 ดอลลาร์สหรัฐฯ (33,755 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.01 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 820 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 518 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,900 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 528 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,276 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.89 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 376 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 499 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,317 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 506 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,598 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.38 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 281 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 540 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,575 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 535 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,492 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.93 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 83 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.6945
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือนมิถุนายนผลผลิต 502.086 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 494.292 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.58
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2563/64 ณ เดือนมิถุนายน 2563 มีปริมาณผลผลิต 502.086 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.58 การใช้ในประเทศ 497.994 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.67 การส่งออก/นำเข้า 44.980 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 5.93 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 185.348 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63
ร้อยละ 2.26
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน อินเดีย ปารากวัย แอฟริกาใต้
ไทย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน และเวียดนาม
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน ไอเวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย อียู กานา กินี อิหร่าน เคนย่า มาเลเซีย เม็กซิโก โมแซมบิค ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน และเนปาล
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และไทย
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
สหพันธ์เกษตรกรอิสระแห่งฟิลิปปินส์ (The Philippines Federation of Free Farmers; FFF) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแผนการนำเข้าข้าวจำนวน 300,000 ตัน ภายใต้ข้อตกลงแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G-G) สหพันธ์เกษตรกรฯ
ได้แนะนำให้บริษัทการค้าระหว่างประเทศของฟิลิปปินส์ (the Philippine International Trading Corporation; PITC) ยกเลิกการประมูลโดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายและงบประมาณเพียงพอสำหรับการนำเข้าข้าว ซึ่งมีรายงานระบุว่า PITC กำลังเผชิญกับความยากลำบากในการเบิกถอนงบประมาณจำนวน 7.45 พันล้านเปโซ จากสำนักงบประมาณและการจัดการ (the Department of Budget and Management; DBM) สำหรับการนำเข้าข้าวจำนวนดังกล่าว ทำให้ PITC ต้องตัดสินใจที่จะระงับการประกาศผลการประกวดราคาที่เดิมจะดำเนินการในวันที่ 8 มิถุนายน 2563
สหพันธ์เกษตรกรฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการนำเข้าข้าวของ PITC ที่วางแผนไว้นั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดย
อ้างกฎข้อ 6.4 ของกฎและระเบียบปฏิบัติ (the Implementing Rules and Regulationsl; IRR) ของกฎหมายว่าด้วยการเก็บภาษีข้าว (the Rice Tariffication Law; RTL) ซึ่งระบุว่าการนำเข้าข้าวจะได้รับอนุญาตเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาการขาดแคลนข้าวในประเทศอย่างชัดเจนและจะต้องมีการอนุญาตอย่างเป็นทางการจากประธานาธิบดี
ทั้งนี้ การเสนอราคาข้าวขาว 25% (25% broken well-milled long-grain white rice) จำนวน 300,000 ตัน ภายใต้ข้อตกลงแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (government-to-government; G2G) ซึ่งจัดโดยหน่วยงาน Philippines International Trading Corporation (PITC) ที่เป็นบริษัทการค้าของรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์และคาดว่าจะชนะการประมูลเพียง 2 ราย จากประเทศเมียนมาและเวียดนาม โดยคาดว่าฟิลิปปินส์จะซื้อข้าวได้เพียง 105,000 ตัน เท่านั้น เนื่องจากผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่นไม่ได้ยื่นข้อเสนอ และไม่ผ่านเกณฑ์ของ PITC
โดยในล็อตแรกที่กำหนดส่งมอบที่ท่าเรือ Manila นั้น สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation; MRF) เสนอราคาที่ตันละ 489.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (CIF) หรือ 24,415.53 เปโซต่อตัน จำนวนรวม 33,000 ตัน แบ่งเป็นการส่งมอบภายในวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 จำนวน 10,000 ตัน และส่งมอบภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 จำนวน 23,000 ตัน ล็อตที่ 2 กำหนดส่งมอบที่ท่าเรือ Cebu นั้น สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation; MRF) เสนอราคาที่ตันละ 494.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (CIF) หรือ 24,665.08 เปโซต่อตัน จำนวนรวม 42,000 ตัน แบ่งเป็น การส่งมอบภายในวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 จำนวน 21,000 ตัน และส่งมอบภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 จำนวน 21,000 ตัน ส่วนล็อตที่ 3 และ 4 กำหนดส่งมอบที่ท่าเรือ Tacloban และ Zamboanga ทั้งเวียดนามและอินเดียที่ได้มีการยื่นข้อเสนอราคา แต่ไม่ผ่านเกณฑ์สำหรับล็อตที่ 5 กำหนดส่งมอบที่ท่าเรือ Davao นั้น บริษัท Vinafood I เสนอราคาที่ตัน 497.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ (CIF) หรือ 24,817.26 เปโซต่อตัน จำนวนรวม 30,000 ตัน แบ่งเป็นการส่งมอบภายในวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 จำนวน 15,000 ตัน และส่งมอบ ภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2563 จำนวน 15,000 ตัน
การประมูลครั้งนี้ มีตัวแทนจากรัฐบาลของ 4 ประเทศเข้าร่วมเสนอราคา ประกอบด้วย สหพันธ์ข้าวเมียนมา (Myanmar Rice Federation; MRF) จากเวียดนามคือ บริษัท Vinafood 1 จากอินเดียคือ สหพันธ์สหกรณ์การตลาดเกษตรแห่งชาติของอินเดีย (India's National Agricultural Cooperative Marketing Federation of India Ltd.) และตัวแทนจากไทยคือ กรมการค้าต่างประเทศ (Department of Foreign Trade)
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (the Philippine Statistics Agency; PSA) รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม 2563 ราคาข้าวเปลือกและราคาข้าวสารในประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (ราคาข้าวเคยขึ้นสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน 2561) โดยราคาข้าวเปลือกเฉลี่ย (The average farm-gate paddy price) อยู่ที่ 19.15 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 382 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจาก 19.06 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 382.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า โดยราคาข้าวเปลือกในขณะนี้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณร้อยละ 5.3
ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารเกรดดี (The average wholesale price of the well-milled rice) อยู่ที่ 39.43 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 786 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจาก 39.25 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 786.26 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า และลดลงประมาณร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนราคาขายปลีกข้าวสารเกรดดี (The average retail price of the well-milled rice) อยู่ที่ระดับ 42.5 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 847 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจาก 42.38 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 849 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ลดลงประมาณร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ราคาขายส่งข้าวสารเกรดธรรมดา (The average wholesale price of the regular-milled rice) อยู่ที่ 35.83 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 714 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 35.73 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 716 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ลดลงประมาณร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
และราคาขายปลีกข้าวสารเกรดธรรมดา (The average retail price of the regular-milled rice) อยู่ที่ 38.25 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 762 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 38.17 เปโซต่อกิโลกรัม หรือประมาณตันละ 765 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ลดลงร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
ผลผลิตข้าวโลก และบัญชีสมดุลข้าวโลก(ประมาณการเดือนมิถุนายน 2563)
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.97 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.90 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.89 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.99 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.88 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.87
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.25 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.11 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.54 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.81 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.64 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.97
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 306.60 ดอลลาร์สหรัฐ (9,410 บาท/ตัน) เพิ่มขึ้นจากตันละ 300.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,248 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.20 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 162 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกรกฎาคม 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 325.40 เซนต์ (3,987 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 329.88 เซนต์ (4,059 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.36 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 72 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.74 ล้านไร่ ผลผลิต 28.531 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.27 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562
ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 8.20 และร้อยละ 8.95 ตามลำดับ โดย
เดือนมิถุนายน 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.60 ล้านตัน (ร้อยละ 2.03 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 64.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง และหัวมันสำปะหลังมีเชื้อแป้งต่ำ เนื่องจากมีฝนตกชุกและเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว สำหรับลานมันเส้นหยุดดำเนินการแต่โรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่หยุดดำเดินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.61 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.62 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.62
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.83 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.85 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.34
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.13 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.89 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 12.85 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.31
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 215 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,599 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,782 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.27
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 423 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,040 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,133 บาทต่อตัน)
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.74 ล้านไร่ ผลผลิต 28.531 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.27 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562
ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 8.20 และร้อยละ 8.95 ตามลำดับ โดย
เดือนมิถุนายน 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.60 ล้านตัน (ร้อยละ 2.03 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 64.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง และหัวมันสำปะหลังมีเชื้อแป้งต่ำ เนื่องจากมีฝนตกชุกและเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว สำหรับลานมันเส้นหยุดดำเนินการแต่โรงงานแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่หยุดดำเดินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.61 ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.62 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.62
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.83 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.85 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.34
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.13 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.89 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 12.85 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.31
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 215 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,599 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ (6,782 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.27
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 423 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,040 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (13,133 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนมิถุนายนจะมีประมาณ 1.545
ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.278 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.756 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.316 ล้านตัน ของเดือนพฤษภาคม คิดเป็นร้อยละ 12.02 และร้อยละ 12.03 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 3.17 บาท ลดลงจาก กก.ละ 3.21 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.25
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 21.35 บาท ลดลงจาก กก.ละ 21.98 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.87
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าตลาดมาเลเซียสูงขึ้น ณ วันที่ 26 มิ.ย. 63 เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและน้ำมันถั่วเหลือง ราคาอ้างอิง เดือน กันยายน ตลาดเบอร์ซามาเลเซีย สูงขึ้น 19 ริงกิต หรือ 0.84 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ตันละ 2,415 ริงกิต มาเลเซียมีการส่งออกระหว่าง 1- 25 มิถุนายน สูงขึ้น 35.50-37.20 เปอร์เซ็นต์ จากเดือนพฤษภาคม
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,531.99 ดอลลาร์มาเลเซีย (18.59 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 2,448.53 ดอลลาร์มาเลเซีย (18.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.41
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 618.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ (19.26 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 590.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18.44 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.87
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
รายงานการนำเข้าน้ำตาลทรายของจีน
กรมศุลกากรของจีน รายงานว่าจีนนำเข้าน้ำตาลทรายในเดือนพฤษภาคม 2563 จำนวน 300,000 ตัน (tel quel) ลดลงร้อยละ 22 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และรวมในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562/2563 (ตุลาคม-กันยายน) จีนนำเข้าน้ำตาลทรายจำนวน 1.81 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1.76 ล้านตัน ของปีก่อน ร้อยละ 2.84
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 873.48 เซนต์ (9.99 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 870.30 เซนต์ (9.99 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.36
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 286.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8.91 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 288.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.68
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 28.05 เซนต์ (19.24 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 27.88 เซนต์ (19.20 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.60
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 873.48 เซนต์ (9.99 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 870.30 เซนต์ (9.99 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.36
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 286.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8.91 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 288.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.68
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 28.05 เซนต์ (19.24 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 27.88 เซนต์ (19.20 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.60
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,042.60 ดอลลาร์สหรัฐ (32.00 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,039.00 ดอลลาร์สหรัฐ (32.03 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 977.20 ดอลลาร์สหรัฐ (29.99 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 973.60 ดอลลาร์สหรัฐ (30.01 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.37 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,042.60 ดอลลาร์สหรัฐ (32.00 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,039.00 ดอลลาร์สหรัฐ (32.03 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 583.80 ดอลลาร์สหรัฐ (17.92 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 581.40 ดอลลาร์สหรัฐ (17.92 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.41 แต่ทรงตัวในรูปเงินบาทเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,331.00 ดอลลาร์สหรัฐ (40.85 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,326.40 ดอลลาร์สหรัฐ (40.89 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.35 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 59.70 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 16.25
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.24 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 29.34 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.48
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 61.48 เซนต์(กิโลกรัมละ 42.19 บาท) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 60.45 เซนต์ (กิโลกรัมละ 41.65 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.70 (สูงขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.54 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,817 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,809 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.44
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,500 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,502 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.13
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 867 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ภาวะตลาดสุกร ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 67.53 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 67.61 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.12 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 65.85 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.18 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 68.67 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 68.84 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,300 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 74.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ในสัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคไก่เนื้อสอดรับกับผลผลิตที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.33 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 33.63 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 12.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 49.00 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 47.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.26
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ยังคงเงียบเหงา ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหลักของไข่ไก่คือสถานศึกษายังปิดภาคเรียน ส่งผลให้ปริมาณไข่ไก่ในท้องตลาดมีมากและสะสม แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 266 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 269 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.12 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 308 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 267 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 254 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 26.00 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 23.00 บาท ของสัปดาห์สัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 13.04
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 295 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 345 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 352 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.99 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 362 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 370 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 320 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 374 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 91.74 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 91.41 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.36 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.77 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 91.09 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 88.98 บาท และภาคใต้ ไม่มีรายงานราคา
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 70.80 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 70.14 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.94 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.12 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.43 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 19 – 25 มิถุนายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 84.25 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 84.78 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.53 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 148.03 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 147.68 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.35 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 156.67 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 156.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 68.61 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 66.36 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.25 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.74 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 9.91 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.17 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 19 – 25 มิถุนายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 84.25 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 84.78 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.53 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 148.03 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 147.68 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.35 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 156.67 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 156.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 68.61 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 66.36 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.25 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.74 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 9.91 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.17 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา